การบรรยายของพี่ๆจากสถาบันการเรียนรู้(LI)
ในแง่คิดในเชิง positive และ negative นั้นสามารถนำมาประยุกต์ออกมาเป็นความคิดสร้างสรรค์เชิงบวกได้ ซึ่งใช่ว่าความคิดในเชิง negative นั้นจะไม่ดีเสมอไป แต่อาจเป็นมุมมองอีกแบบหนึ่งที่อาจทำให้เราเห็นในสิ่งที่เรามองข้ามไปหรือคิดตกไปบางจุด ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถนำความคิดเหล่านี้มาปรับเปลี่ยนเป็นแง่มุมใหม่ เป็นความคิดสร้างสรรค์ในเชิงบวกได้
อุปสรรคที่ปิดกั้นความฉลาด
สิ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อความฉลาดของเรา ก็คือ การเปิดใจยอมรับ หรือความใจกว้างของตัวเรานั้นเอง เพราะถ้าเรายังยึดติดในความคิดของตัวเองเป็นหลัก หรือถ้าถึงขั้นว่ามองคนอื่นว่าด้อยกว่าตน มีแต่ตนเพียงผู้เดียวที่เป็นฝ่ายที่ถูกต้องที่สุด นี่คือการทำลายตัวเอง ทำลายความคิดเชิงสร้างสรรค์หรือไม่ได้แนวคิดใหม่ๆ อีกทั้งทำลายความสัมพันธ์ของคนรอบข้างได้อีกด้วย
ความคิดเชิงสร้างสรรค์นั้น
แบ่งออกเป็น 4 อย่างด้วยกัน ดังนี้
1. คิดริเริ่ม คือ การริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ โดยการสังเกตสิ่งแวดล้อมหรือสภาพที่เป็นอยู่
2. คิดคล่องแคล่ว คือ สามารถสร้างแนวคิดขึ้นมาใหม่ได้ในเวลาที่จำกัด หรือคิดได้เร็ว
3.คิดยืดหยุ่น คือ ไม่ยึดติดเฉพาะความคิดเดิมๆที่มีอยู่ แต่บวกความใจกว้างลงไปด้วย มีจุดหมายสำคัญที่เราต้องการก้าวเดินไปข้างหน้า แต่ไม่ได้แปลว่าการที่เราจะก้าวเดินไปหาจุดหมายนั้นจะมีเพียงวิธีเดียวที่เราเลือกเดินได้ เราเลือกได้หลายวิธี ขึ้นอยู่สถานการณ์และความเหมาะสม
4. คิดละเอียดละออ คือ คิดถึงหลักความเป็นจริงและวิเคราะห์ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนหรือจะเรียกว่าเป็นการมองแต่ละเรื่องอย่างลึกซึ้ง
เกมปัญหาบนดวงจันทร์
แล้วพี่ๆLI ก็ให้พวกเราแบ่งกลุ่มเล่นเกม เกมที่ได้เล่นนั้น เป็นเกมให้เราเป็นผู้นำในยานอวกาศลำหนึ่ง โดยยานลำนี้จะไปที่หมายที่ตั้งอยู่บนดวงจันทร์ แต่เกิดขัดข้อง มีอุปกรณ์ในยานอยู่ 15 อย่าง ที่เราจะเลือกไปใช้ แต่ให้เราเรียงลำดับความสำคัญจากมากที่สุดไปถึงน้อยที่สุด โดยตอนแรกนั้นพี่จะให้พวกเราเล่นแบบเดี่ยวๆก่อน ก็คือ เลือกอุปกรณ์ตามความคิดของเราคนเดียว จากนั้นจึงให้จับกลุ่มกัน 3 คน แล้วให้ช่วยกันคิด แล้วนำมาเปรียบเทียบกับตอนแรกที่เล่นเดี่ยว ทำให้ได้แง่คิดว่า การที่เราทำงานคนเดียว คิดคนเดียว มันอาจจะดีตรงที่รวดเร็ว ทันใจ และไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกับความคิดของเราเพราะเราทำคนเดียว แต่พอมาอยู่เป็นกลุ่ม ความคิดที่สรุปออกมาได้จะค่อนข้างช้า แต่ในทางกลับกันทำให้เราได้แง่คิดใหม่ๆ บางสิ่งที่เราเรียงลำดับนั้น ของบางอย่างอาจจะสำคัญมาก แต่เรามองข้ามมันไป ซึ่งเมื่อฟังความเห็นของคนในกลุ่มแล้วจะทำให้เราเชื่อมั่นได้มากขึ้นจากเดิมที่คิดเพียงคนเดียว ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า การที่เราทำงานร่วมกันเป็นทีมนั้น ทำให้เราได้แนวคิดใหม่ๆ โลกทัศน์กว้างขึ้น แชร์ความคิดได้มากขึ้น ความสมเหตุสมผลมากจากเดิมเลยทีเดียว นี่คือสิ่งหนึ่งที่เราเรียกว่าการทำงานกันเป็นทีม ก็เหมือนกับตอนนี้ที่พวกเราทำโครงการ “แนวคิดพ่อ มจธ.ขอตามรอย” เกิดมาจากการร่วมแรงร่วมใจของพวกเราทุกคน ไม่มีใครสำคัญกว่าหรือด้อยกว่า แต่ทุกคนล้วนมีความสำคัญทั้งนั้น เพราะตัวเราเองไม่สามารถทำงานออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงความคิดของเราคนเดียวได้ แต่ต้องร่วมมือกันทำงาน แม้ใช้ระยะเวลานานแต่ถ้าทำให้ได้ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ ก็สุขใจได้เช่นกัน
ทฤษฎีหมวก 6 ใบ
ทฤษฎีนี้นำมาใช้สำหรับการประชุมที่เกิดเป็นความวุ่นวายหรือปัญหาที่คิดไม่ตก โดยแจงออกมาเป็นสีๆเพื่อให้เกิดเป็นการคิดอย่างเป็นระบบ มองในแง่เดียวกันทั้งหมดแล้วค่อยๆไล่ระดับทางความคิด
สีขาว – ข้อเท็จจริง
สีแดง – บรรยายถึงความรู้สึก ชอบ ไม่ชอบ
สีดำ – เป็นการมองถึงสิ่งที่ควรแก้ไข คิดอย่างมีเหตุผล หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือ มุมมองของผู้ใหญ่ที่มองเด็กๆ สีนี้มีความสำคัญที่สุด
สีเหลือง – มองในแง่ดีในเรื่องนี้
สีเขียว – ความคิดสร้างสรรค์ มุมมองที่สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ create ออกมาแบบไหนได้บ้าง
สีฟ้า – ควบคุมแนวคิดของแต่ละสีให้อยู่ในกรอบของตน ไม่คิดออกนอกลู่นอกทาง หรือก็คือประธานของทุกๆสีนั้นเอง
ซึ่งถือว่าเป็นทฤษฎีที่ดีมาก หลังจากสัปดาห์ที่พี่ LI มาบรรยายให้เรารับฟังนั้น ก็มีการประชุมโครงการของพวกเราทุกๆสัปดาห์ แต่สิ่งที่ผมสังเกตได้ ก็คือ การประชุมครั้งถัดๆมามีการเปลี่ยนแปลงไปมากจากวันนั้นจนถึงวันนี้ เชื่อได้เลยว่าพวกเราหลายๆคนใจเย็นและเปิดใจรับฟังกันเองมากยิ่งขึ้น แล้วหลายๆคนก็มีการนำเสนอความคิดรูปแบบใหม่ๆที่ดีขึ้นมาอีก
ต้องขอขอบคุณพี่ๆจากสถาบันการเรียนรู้(LI)มากๆเลยครับ
Recent Comments